สคส.จากในหลวงถึงประชาชน

สคส.จากในหลวงถึงประชาชน

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รัฐบาล'อภิสิทธิ์'เฮงราคาข้าวขยับ



จัดทำโดย นส.ธารารัชน์ เกษตรธรม
เลขทะเบียน 4902100142

แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการโรงสีข้าว เปิดเผยในทิศทางเดียวกันว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ส่งออกข้าวทั้งรายใหญ่และรายเล็กได้ออกรับซื้อข้าวทั้งโดยตรงกับโรงสีและผ่านหยง โดยเสนอราคาซื้อข้าวขาว 5% เฉลี่ยอยู่ที่กระสอบละ 1,600 บาท (100 กก.) เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่เสนอซื้อกระสอบละ 1,550 บาท ปลายข้าวจากกระสอบละ 850 บาท เป็นกระสอบละ 970 บาท ปลายข้าวหอมปทุมจากกระสอบละ 950 บาท เป็นกระสอบละ 1,200 บาท แม้ว่าราคาซื้อจะขึ้นไม่มากแต่ความต้องการถือว่ามีความคึกคักเพราะผู้ส่งออกทั้งรายใหญ่และรายเล็กออกไปซื้อหมด อาทิ นครหลวงค้าข้าว ข้าวไชยพร พงษ์ลาภ ไทยมาพรรณ แสงทองค้าข้าว เป็นต้น
เหตุที่ผู้ส่งออกออกมารับซื้อข้าวกันค่อนข้างมากนั้น เนื่องมาจากมีหลายประเทศเปิดประมูลซื้อเช่นญี่ปุ่นประมูลซื้อเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ปริมาณ 75,000 ตัน และเปิดประมูลวันที่ 27 พฤศจิกายนอีก 25,000 ตัน วันที่ 20 พฤศจิกายน ซีเรียประมูลซื้อ 50,000 ตัน ซึ่งทั้งญี่ปุ่นและซีเรียส่วนใหญ่จะต้องการข้าวจากประเทศไทย นอกจากนี้ต้นเดือนหน้าฟิลิปปินส์จะเปิดประมูลซื้ออีก 600,000 ตัน หลังจากที่เปิดประมูลซื้อไปเมื่อ 4 พฤศจิกายน 250,000 ตัน และอินเดียที่คาดว่าปีนี้จะนำเข้าไม่ต่ำกว่า 3 ล้านตัน จึงทำให้ผู้ส่งออกออกมารับซื้อข้าวเพื่อรับออร์เดอร์ที่ต่างประเทศมีความต้องการ
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่าส่งออกข้าวไทยปีหน้าดีกว่าปีนี้แน่เพราะอินเดียไม่ส่งออก ส่วนจะนำเข้าจำนวนเท่าใด หลังจากอินเดียประสบภัยแล้งนั้นต้องติดตามเพราะเวลานี้ตัวเลขการนำเข้าของอินเดียยังไม่ชัดเจน ฟิลิปปินส์จะนำเข้า 2.5-3 ล้านตัน เพราะผลผลิตเสียหายจากพายุหลายลูกประกอบกับจะมีการเลือกตั้งปีหน้า ส่วนอินโดนีเซียต้องติดตามสถานการณ์ภัยแล้งหากแล้งจริงไทยอาจได้ออร์เดอร์จากอินโดนีเซียในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนประเทศผู้ส่งออกที่ต้องติดตามดูมีเวียดนาม พม่า
การออกมารับซื้อข้าวของผู้ส่งออกรวมถึงมาตรการตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวขององค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ได้ส่งผลเชิงจิตวิทยาทางการตลาด นอกจากราคาข้าวสารขยับขึ้นแล้ว ได้ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกขยับสูงตามไปด้วย โดยข้าวเปลือกความชื้น 15% อยู่ที่ตันละ 9,200-9,500 บาท ส่วนข้าวเปลือกที่ความชื้นสูงกว่านี้ราคาจะลดลงความชื้นละ 150 บาท ซึ่งข้าวเปลือกที่ชาวนาเก็บเกี่ยวเป็นข้าวสดมีความชื้นสูงราคาซื้อขายจึงมีตั้งแต่ระดับตันละ 7,200 บาทขึ้นไปจนถึง 9,200 บาท
ผลจากราคาข้าวเปลือกที่สูงขึ้นทำให้การตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวของอคส.และ อ.ต.ก.ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน ยังไม่มีชาวนานำข้าวมาขายให้แต่อย่างใด เพราะชาวนาเลือกขายให้กับโรงสี เพราะราคาข้าวเปลือกความชื้น 15% โรงสีรับซื้อที่ตันละ 9,200-9,500 บาท รับเงินสดทันทีขณะที่ราคาตั้งโต๊ะรับซื้อความชื้นเดียวกันตันละ 8,389 บาท แต่ต้องไปรับเงินกับธ.ก.ส.ซึ่งต้องใช้เวลา ชาวนาจึงเลือกขายให้โรงสีแทน
"คิดว่าปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้ารัฐบาลอภิสิทธิ์มีความโชคดีเกี่ยวกับภาวะราคาสินค้าเกษตร ไม่เพียงแต่ข้าวเท่านั้นที่มีทิศทางขาขึ้น มันสำปะหลัง ข้าวโพด รวมถึงสินค้าหมวดปศุสัตว์ไก่ กุ้ง สุกร มีแนวโน้มราคาดีเช่นเดียวกันโดยมีปัจจัยคือภัยธรรมชาติผลผลิตสินค้าเกษตรลดลง ขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวความต้องการบริโภคสินค้าจึงเพิ่มขึ้น"
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)เปิดเผยความคืบหน้าการโอนเงินส่วนต่างจากโครงการประกันรายได้ ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน ธ.ก.ส.โอนเงินส่วนต่างให้เกษตรกรแล้ว 55,915 สัญญา เป็นเงิน 823.83 ล้านบาท แบ่งเป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 54,168 สัญญา วงเงิน 795.50 ล้านบาท มันสำปะหลัง 11 สัญญา วงเงิน 178.34 ล้านบาท ข้าวเปลือกนาปี 1,736 สัญญา วงเงิน 28.15 ล้านบาท

ที่มา : http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=12545:2009-11-16-03-29-44&catid=87:2009-02-08-11-23-26&Itemid=423

คำถาม :
1. ผู้ส่งออกทั้งรายใหญ่ รายเล็กที่ว่านั้นมีใครบ้าง ?? ยกตัวอย่างมา 3 ราย
2. ปลายปีนี้มีสินค้าเกษตรอะไรบ้างที่ราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นอกจากข้าว
3. ในปีหน้าออเดอร์ไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากประเทศใดไม่ส่งออกข้าว ??

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"เศรษฐกิจไทยอยู่อย่างไรในอนาคต"




จัดทำโดย...นางสาวจิรวรรณ ทองแก้ว
เลขทะเบียน..4902100174


จากเวทีสัมมนาทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2553 "เศรษฐกิจไทย อยู่อย่างไรในอนาคต" จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน 2552
*ศก.ปี53 โต3-5%
รศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2553 เริ่มมีสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวที่ดีขึ้นทั้งภาคการผลิตและคำสั่งซื้อ โดยเฉลี่ยทั้งปีน่าจะขยายตัวได้ที่ระดับ 3.0 - 5.0% จากผลของมาตรการต่างๆของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการผลิต อันเป็นผลจากการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ส่วนในปี 2552 คาดว่า จะหดตัว 3.0%
อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจยังมีปัจจัยเสี่ยง ทางการเมืองที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่น , การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง , ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และแนวโน้มเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น,ราคาน้ำมันโลกที่มีโอกาสขยับไปแตะ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ / บาร์เรลในปี 2553 จนส่งผลต่อต้นทุนการผลิต การปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นในระยะยาวรัฐบาลควรวางนโยบายแผนชัดเจนต่อการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศระยะยาว รวมถึงประเด็นปัญหาโครงการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่ส่งผลให้การลงทุนใหม่ๆในพื้นที่ต้องหยุดชะงักลง และยืดเยื้อไปถึงต้นปี 2553 หากรัฐไม่เร่งแก้ปัญหาให้มีความชัดเจนโดยเร็ว
รศ.ดร.พรายพลกล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นมาตรการที่ถูกต้อง แต่ควรปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้นโดยเฉพาะโครงการไทยเข้มแข็ง 2 ที่หลายโครงการเป็นโครงการล้างท่อ ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น โครงการลงทุนด้านโลจิสติกส์ ส่วนใหญ่เน้นการปรับปรุงสภาพถนน ขณะที่ระบบรางสภาพค่อนข้างล้าหลังมาก แต่รัฐบาลกลับจัดสรรงบประมาณลงทุนในสัดส่วนน้อยมาก
*เก็บภาษีที่ดิน-มรดก
สอดคล้องกับรศ.ดร.ปัทมาวดี ซูซูกิ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เห็นว่า โครงการต่างๆ ของรัฐบาลนับว่าเป็นโครงการที่ดี แต่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน ควบคู่ไปกับการเร่งดำเนินนโยบายในการพัฒนาประสิทธิภาพของทั้งภาคอุตสาหกรรม , การเกษตร และการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบัน โดยรัฐบาลจะต้องเร่งวางนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมไทยจากโอกาสของเครือข่ายการผลิตระหว่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และปรับบทบาทการเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรมให้มีความชัดเจนมากขึ้น รวมทั้งปรับสัดส่วนการพึ่งพาเศรษฐกิจภายนอกให้สมดุลขึ้นเมื่อเทียบจากปัจจุบัน
"ในเบื้องต้นรัฐควรใช้โครงการไทยเข้มแข็งเป็นโครงการนำร่องในการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม ควบคู่ไปกับการเร่งแก้ปัญหาความล้มเหลวการประสานงานระหว่างรัฐกับรัฐ และรัฐกับเอกชน และควรผลักดันเรื่องภาษีที่ดิน และภาษีมรดกให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม "
*ยุทธศาสตร์เชื่อมกลุ่มจี20
ขณะที่มุมมองจากอดีตรัฐมนตรีการคลัง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กล่าวว่าวิกฤติที่เกิดขึ้น ไทยควรเริ่มคิดใหม่ รัฐบาลควรเร่งสร้างเชื่อมั่น อย่ามัวแต่ให้ความสำคัญกับตัวเลขจีดีพีโดย เฉพาะการวางยุทธศาสตร์นำประเทศเชื่อมโยงกลุ่มจี 20 เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศในอนาคตไว้ให้ได้ ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯยังมีบทบาทสำคัญในเอเชีย การสร้างสานความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นขึ้นเพราะญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ของไทย
*เจาะกลุ่มตลาดเอเชีย
ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานเพื่อการส่งออกและนำเข้าประเทศไทย กล่าวว่า แม้ว่าประเทศจะได้รับกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจช่วง 2 ปีแต่สำหรับผู้ประกอบการส่งออกมีการปรับตัวพัฒนาดีขึ้นเห็นได้จากการค้าไปยังประเทศตลาดหลัก สหรัฐฯ ,ยุโรปและญี่ปุ่นซึ่งเดิมมีสัดส่วนมากถึง 36% ปัจจุบันเหลือ 33% ขณะที่สินค้าส่งออกที่ใช้องค์ความรู้กลับเพิ่มสัดส่วนถึง 60% จาก 46%
"ในเมื่อกระแสเศรษฐกิจหลัก ( อุตสาหกรรม/ส่งออก ) นำพาประเทศไทยไปได้ก็ควรเดินต่อ ซึ่งไทยมีโอกาสสูงจะเป็นศูนย์การค้าของเอเชียได้ ทั้งถนนหนทาง อากาศ สามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อระบบขนส่งโลจิสติกส์ได้หมด "
*เปิดฐานลงทุนใหม่เซาเทิร์นซีบอร์ด





ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยวันนี้เรามาถึงครึ่งตุ่มแล้ว แต่เทียบการฟื้นสหรัฐอเมริกา และยุโรปเป็นเพียงเศษ 1 ส่วน 5 ดังนั้นการส่งออกจะไปพึ่งประเทศคู่ค้าเดิม ๆไม่ใช่ ต้องหันมาเน้นประเทศในเอเชีย/ตะวันออกกลางมากขึ้น ซึ่งยังต้องเดินตามกระแสหลักเดิมคือส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมควบคู่ภาคส่งออก ขณะเดียวกันยังต้องเน้นกำลังซื้อในประเทศ ( Domestic Demand )
พร้อมทั้งแนะต่อว่าหากเศรษฐกิจวันนี้จะขับเคลื่อนไปได้ การลงทุนใหม่ต้องเกิด แต่ปัญหาขณะนี้เรากำลังเจอตอจากปัญหามาบตาพุดทำให้ไทยไม่มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่จะสร้างความมั่นใจให้เข้ามาลงทุน ในขณะที่พื้นที่ก็ใช้เต็ม รัฐจึงต้องเร่งเปิดพื้นที่อุตสาหกรรมแห่งใหม่ คือ เซาเทิร์นซีบอร์ด โดยเร่งเกิดขึ้นได้ภายใน 6 เดือนถึง 1 ปี โดยโครงการดังกล่าวเป็นประตูฝั่งตะวันตกเชื่อมโยงการขนส่งสินค้า และเป็นฐานอุตสาหกรรมเหล็ก ,ปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมันเกิดอุตสาหกรรมปลายน้ำ ฯลฯ
*รับกติกากฎเกณฑ์โลก

ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ อดีตรัฐมนตรีพลังงาน และประธานที่ปรึกษามูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การเดินตามกระแสหลักแม้จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในอนาคต แต่ประเทศยังมีอุปสรรคจากภายในและต่างประเทศที่ต้องปรับตัวเองมากพอสมควร ทั้งจาก 1.การแข่งขันสูง 2.ต้นทุน 3.อุปสรรคจากกฎระเบียบ กฎเกณฑ์ ของประเทศในกลุ่มต่างๆ ซึ่งจะมีส่งผลต่อการดำรงชีวิต การพัฒนาฟื้นเศรษฐกิจที่จะตามมา จะปรับตัวอย่างไรให้อยู่กับชุมชนสิ่งแวดล้อมได้ รวมทั้งปัญหาที่ภาครัฐ ไม่ได้ออกกฎเกณฑ์ระเบียบ สร้างกฎกติกาให้ภาคธุรกิจชัดเจน อาทิในการดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมและชุมชนในโครงการมาบตาพุด
"หากประเทศไม่ปรับตัว เมื่อเกิดวิกฤติอีกครั้ง เศรษฐกิจประเทศก็คงเติบโตแบบไปเรื่อย ๆ ปีละ 2-3% ขณะที่ประเทศอื่นล้ำหน้าไปก่อน และเมื่อมีกฎเกณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาเราจะไม่ทันกาลกับการปรับตัว"


คำถาม
1.เศรษฐกิจในประเทศไทยมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องใดบ้าง?
2.โครงการต่าง ๆของรัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขและดำเนินนโยบายในการพัฒนาประสิทธิภาพอย่างใด?
3."หากเศรษฐกิจวันนี้จะขับเคลื่อนไปได้ การลงทุนใหม่ต้องเกิด" เป็นคำกล่าวของใคร

แหล่งที่มา.... จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2,481 22 พ.ย. - 25 พ.ย. 2552

แก้ปัญหาภาษีลดความเหลื่อมล้ำของสังคม



จัดทำโดย นางสาวพริยาภรณ์ บุตรพรม เลขทะเบียน 4902100180



การจัดสัมมนาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ )ภายใต้หัวข้อ"มาตรการการคลังเพื่อความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม"ซึ่งวิเคราะห์ถึงภาระภาษีทางตรง, ภาษีทางอ้อมและการขยายฐานภาษี


*รัฐพึ่งภาษีทางอ้อมมากกว่าทางตรง
ดร.สมชัย จิตสุชน รองประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวถึงภาพรวมของโครงสร้างภาษีในประเทศไทย ว่า สัดส่วนรายได้จัดเก็บภาษีต่อรายได้ประชาชาติของไทยยังค่อนข้างต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่กำลังพัฒนาในเอเชียด้วยกัน อีกทั้งรัฐยังพึ่งพิงภาษีทางอ้อมมากกว่าภาษีทางตรง โดยที่สัดส่วนภาษีการจัดเก็บมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงภาษีนิติบุคคลที่มีสัดส่วนสูงมาก ในกลุ่มภาษีทางตรง ซึ่งคิดแล้วรายได้จัดเก็บภาษีนิติบุคคลมากกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถึง 2 เท่าตัวในภาวะปกติ เช่นเดียวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ซึ่งเป็นภาษีทางอ้อม ก็มีสัดส่วนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะหลัง
"ปัจจุบันสัดส่วนภาษีต่อรายได้ประชาชาติของไทยยังคงต่ำ หรือคิดเป็น 16-18% เท่านั้น"
ทั้งนี้ โครงสร้างภาษีของไทยมีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างสูง โดยปัจจัยที่มีส่วนทำให้รายได้ภาษีของประเทศไทยต่ำได้แก่ สัดส่วนแรงงานนอกระบบที่สูง ทั้งในส่วนของภาคเกษตร และนอกภาคเกษตร อีกทั้งการกระจายรายได้ที่ยังคงมีความเหลื่อมล้ำสูง ทำให้มีผู้มีรายได้น้อยกว่าเกณฑ์ภาษีจำนวนมาก ในขณะที่ผู้มีรายได้สูงก็มีช่องทางในการลดหย่อน หรือมีการโยกย้ายฐานเงินได้ไปสู่ฐานที่เสียภาษีต่ำ นอกจากนี้ยังมีกรณีการยกเว้นภาษีให้ หรือให้ส่วนลดในอัตราที่สูง เพราะฉะนั้น จึงเห็นควรที่จะให้มีการศึกษาการกระจายภาระภาษีตามกลุ่มประชากร และภาคเศรษฐกิจว่ามีความเหมาะสมเพียงใด และควรที่จะปรับเปลี่ยนฐานภาษีให้สอดคล้องกับหลักของความเสมอภาค
"โครงสร้างด้านภาษีของประเทศไทยมีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างสูง โดยภาษีนิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่มมีความผันผวนสูง ซึ่งทั้ง 2 ภาษีดังกล่าวนั้น มีผลต่อรายได้ของรัฐบาลที่จะช่วยทางด้านสังคม รวมถึงดูแลคนยากจน และช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ"
สำหรับภาษีทางตรงนั้นได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยในส่วนของผลการศึกษาภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น พบว่าจำนวนผู้มีงานทำที่เข้าสู่ระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีจำนวนน้อย ส่วนผู้ที่เข้ามาอยู่ในฐานภาษีก็สามารถหักค่าลดหย่อนได้มาก ทำให้อัตราภาษีที่แท้จริงอยู่ในระดับที่ต่ำมาก สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น จากผลการศึกษาพบว่าสัดส่วนภาษีต่อรายได้อยู่ในระดับที่ต่ำ ที่สำคัญบริษัทขนาดเล็กมีสัดส่วนการชำระภาษีต่อรายได้มากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ก็สามารถขอลดหย่อน หรือได้รับการยกเว้นภาษีเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนรายได้ได้มากกว่าบริษัทขนาดเล็ก
*จัดเก็บภาษีผู้มีรายได้ทุกคน
*ทบทวนสิทธิประโยชน์"บีโอไอ"
"ตัวอย่างข้อเสนอแนะในส่วนของภาษีทางตรงนั้น มองว่าควรที่จะมีการขยายความครอบคลุมบุคคลธรรมดาผู้มีรายได้ทุกคนให้เข้าสู่ระบบจัดเก็บภาษี โดยดำเนินการให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระภาษี"
ส่วนภาษีทางอ้อมนั้น ได้แก่การจัดเก็บภาษีในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีศุลกากร และภาษีสรรพสามิต ภาษีดังกล่าวทั้ง 3 ประเภทถือเป็นแหล่งรายได้ทางภาษีทางอ้อมที่สำคัญของรัฐ ประเด็นที่สำคัญคือภาษีในส่วนของศุลกากรที่บทบาทจะลดลงไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นจากปัจจัยของการปฏิรูปโครงสร้างภาษีศุลกากร และการเปิดเสรีทางการค้า (FTA) ซึ่งทำให้อัตราภาษีโดยเฉลี่ยลดลงมา อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บได้จริงค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้นำเข้าที่มีมูลค่านำเข้าสูง ซึ่งเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น การใช้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) ช่วยให้ผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนประหยัดภาษีได้มาก เป็นต้น
ดังนั้นในส่วนของภาษีทางอ้อม จึงควรจะปรับการดำเนินนโยบายบางด้าน เช่น การทบทวนกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ ว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงไร เพราะนอกจากจะไปลดรายได้ภาษีอากรของรัฐแล้ว ยังก่อให้เกิดปัญหาความไม่เป็นธรรมด้วย เนื่องจากผู้ประกอบการบางรายได้ประโยชน์ ในขณะที่อีกจำนวนมากไม่ได้ประโยชน์ เป็นต้น"
*ขยายฐานภาษีวัยเกษียณ /จัดเก็บภาษีทรัพย์สิน
จากการศึกษาประเด็นปัญหาเรื่องของภาษี ดร.สมชัย ยังได้ฝากประเด็นไปยังรัฐบาลว่า ควรพิจารณาขยายฐานภาษีสำหรับผู้ที่ถึงวัยเกษียณแต่มีรายได้หลักจากทรัพย์สิน เนื่องจากผู้ไม่เสียภาษีจำนวนมากเป็นกลุ่มที่เกษียณแล้ว แต่มีทรัพย์สินมากกว่าผู้เสียภาษี โดยเฉพาะบ้าน ที่ดิน เพื่อที่อยู่อาศัยและยานพาหนะ ทั้งนี้ การขยายฐานภาษีเป็นเรื่องเร่งด่วนในการปรับโครงสร้างภาษีของไทย โดยเฉพาะการขยายความครอบคลุม ไปสู่ผู้ที่ยังไม่ได้เสียภาษี แต่มีความสามารถในการเสียภาษี รวมถึงการส่งเสริมให้มีการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แม้ว่าจะมีการประเมินอัตราภาษีได้ยากและมีต้นทุนจัดเก็บภาษีสูง แต่ก็ควรเร่งจัดทำเพื่อเพิ่มรายได้ภาษีให้กับประเทศ
ขณะที่การลดหย่อนภาษีและยกเว้นภาษี เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น ส่งผลต่อความเสมอภาคซึ่งอาจส่งผลให้ผู้มีรายได้สูง หรือนิติบุคคลขนาดใหญ่ กลับเสียภาษีน้อยกว่าความสามารถในการจ่าย อีกทั้งการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยังทำให้ภาษีมีลักษณะก้าวหน้าน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และการยกเว้นเกินความจำเป็นในกรณีสิทธิประโยชน์บีโอไอ อาจไม่ทำให้เกิดประโยชน์มากนัก เพราะเป็นการลดขนาดของฐานภาษี
ด้านดร.อมรเทพ จาวะลา ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า จากการศึกษาในส่วนของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีนิติบุคคล ซึ่งนับว่าเป็นภาษีทางตรง พบว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีจำนวนผู้ที่เข้าอยู่ในระบบภาษีน้อยมาก ขณะที่ผู้ที่อยู่ในฐานภาษีเองก็สามารถหักลดหย่อนภาษีได้มากถึง 20% ของรายได้ ส่งผลให้ท้ายที่สุดอัตราภาษีที่แท้จริงจะต่ำเพียง 5% ของรายได้ โดยผู้ที่เสียภาษีมีจำนวนไม่ถึงครึ่งของผู้ที่มีงานทำ อีกทั้งผู้ที่ขอลดหย่อนภาษีส่วนใหญ่ก็จะเป็นประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯที่มีรายได้สูง
ทั้งนี้ มองว่าผู้ที่มีรายได้ทุกคนควรที่จะอยู่ในระบบภาษี ถึงแม้ว่าค่าลดหย่อนภาษีบางประเภทจะช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ที่มีภาระ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีลูก ก็มีสิทธิ์สมควรที่จะได้รับการลดหย่อน ขณะที่ค่าลดหย่อนบางประเภทที่สร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุน อาจจะส่งผลทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้ และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบุคคลผู้ที่มีรายได้สูงมากจนเกินไป
*แฉคืนภาษีปีละ 1.3-1.4 แสนล้านบ.
ดร.ชัยสิทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีศุลกากร และภาษีสรรพสามิตนั้น มีผลต่อภาษีทางอ้อมมากถึง 95-96% โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บจากฐานการบริโภค และการให้บริการ ส่งผลทำให้สินค้าทุกชนิดเข้าข่ายที่จะต้องเสียภาษี แต่รัฐบาลก็มีข้อยกเว้นมากถึง 28 หัวข้อสินค้าใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น อาหาร และพืชผลการเกษตร เป็นต้น โดยสินค้าบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีจากบีโอไอด้วย ทำให้ในแต่ละปีจะมีการมาขอคืนภาษีสูงมากถึง 130,000-140,000 ล้านบาท
"จากประเด็นข้างต้น อาจจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้ใบกำกับภาษีปลอม ซึ่งประเด็นที่ตามมาก็คือทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้ หรือต้องจ่ายคืนภาษีกลับไปให้ทั้งๆที่ไม่ได้มีการส่งออก ส่วนภาษีศุลกากรนั้น แน่นอนว่าในอนาคตบทบาทในการจัดเก็บจะลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากการปฏิรูปโครงสร้างภาษี และการเปิดเสรีทางการค้า ทำให้ผู้นำเข้าหลายกลุ่มได้รับประโยชน์"
*มาตรการยกเว้นภาษี: สร้างความเหลื่อมล้ำ
ด้านนายโกวิทย์ โปษยานนท์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า นโยบายการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของรัฐบาลนั้น มีผลทำให้ฐานรายได้ของรัฐจัดเก็บได้ลดลง และจะส่งผลต่อปัญหาเรื่องการกระจายรายได้ โดยหากจะกล่าวก็คือ ไม่มีที่ใดที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดภาษีให้กับผู้ที่มีรายได้ เพราะการลดภาษีให้กับบุคคลธรรมดา ซึ่งมีจำนวนประมาณ 10 ล้านคน หรือ 15% ของประชากรทั่วประเทศ โดยจะมีผลกระทบต่อการกระจายรายได้ นอกจากนี้ยังพบว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารั่วไหลได้ 2 ทางคือการไม่ยื่นแบบเสียภาษี กับการยื่นแต่แสดงรายได้ต่ำกว่าเป็นจริง โดยส่วนใหญ่จะพบกับแรงงานนอกระบบ หรือรอยต่อระหว่างในระบบกับนอกระบบ





คำถาม
1.ปัจจัยที่มีส่วนทำให้รายได้ภาษีของประเทศไทยต่ำได้แก่ปัจัยอะไรบ้าง
2.แหล่งรายได้ทางภาษีที่สำคัญของรัฐได้มาจากแหล่งรายได้ทางด้านใดและมีอะไรบ้าง
3.การที่รัฐบาลมีข้อยกเว้นเรื่องภาษีจากการบริโภคและการให้บริการมากถึง 28 หัวข้อ อาจจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้ใบกำกับ ภาษีปลอม ซึ่งทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียรายได้มากจริงหรือไม่ เพราะเหตุใด

แหล่งที่มาของบทความ....หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2,483 29 พ.ย. - 02 ธ.ค. 2552