สคส.จากในหลวงถึงประชาชน

สคส.จากในหลวงถึงประชาชน

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

_บาทแข็งไม่กระทบฐานะแบงก์ชาติ_

จัดทำโดย...นายอับดลเหล๊า หมัดอะหิน
เลขทะเบียน 4902100143
เรื่อง... บาทแข็งตัวไม่กระทบแบงก์ชาติ...

แบงก์ชาติย้ำทุนสำรองระหว่างประเทศที่พุ่งทะยานกว่าแสนล้านดอลล์ ไม่เป็นภาระการบริหารจัดการ แม้ล่าสุดค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 4% เมื่อเทียบดอลล์ มั่นใจขาดทุนไม่มาก หลังการกระจายการถือครอง พร้อมเตรียมชั่งน้ำหนักลงทุน"ทองคำ" คุ้มหรือไม่จากสัดส่วนในปัจจุบันที่มีเพียง 2% ด้าน "บัณฑิต"ย้ำยังคงนโยบายการเงินดอกเบี้ยต่ำเพื่อประคองศก.ให้ฟื้นต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ

นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการบริหารเงินสำรองที่ล่าสุด ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2552 (เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2552) อยู่ที่ระดับ 135,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯว่า ตัวเลขทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยล่าสุดมีสูงถึง 2 เท่าของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด หรือประมาณ 5.5 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้นทั้งหมด หรือคิดเป็น 12 เดือนของมูลค่าการนำเข้าปัจจุบัน นับว่าเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบจากอดีตที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีธปท.ไม่ได้วิตกว่าตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นจะกลายเป็นภาระต่อการบริหารจัดการ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทุนสำรองระหว่างประเทศจะต้องเพิ่มตลอดต่อเนื่อง ซึ่งขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายทางการเงินในระยะถัดไป
" การมีทุนสำรอง ก็เพื่อทำนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน และหนุนหลังพันธบัตร รวมถึงเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อมั่น แต่ไม่จำเป็นต้องมีมาก แต่ถามว่าระดับที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าไหร่ มันอยู่ที่เราจะประเมินว่า อัตราแลกเปลี่ยนจะมีความผันผวนมากน้อยเพียงใด เงินจะไหลออกมากน้อยเพียงใด แต่ที่ไหลออกแน่ๆคือ หนี้ระยะสั้น ซึ่งเรามีตัวเลขอยู่แล้ว แต่ไม่น่าห่วงมากนัก" ผู้ช่วยผู้ว่าการกล่าว
นางสุชาดากล่าวเพิ่มเติมว่า การบริหารจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศ โดยหลักการธปท.จะให้น้ำหนักใน 3 ประเด็นประกอบด้วย สภาพคล่อง , ความมั่นคง และผลตอบแทนที่ได้รับ โดยในส่วนที่เป็นสภาพคล่องจะต้องมีความคล่องตัวสูง ดังนั้นธปท.จะถือในรูปดอลลาร์สหรัฐฯทั้งหมด ขณะที่ในส่วนอื่นๆธปท.ได้มีการกระจายการถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศเป็นสกุลเงินอื่นมากขึ้นนับจากปี 2540 เป็นต้นมา จากอดีตที่เคยถือครองดอลลาร์สหรัฐฯสูงถึง 90% เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆทั่วโลก ซึ่งจากเอกสารการเผยแพร่ของไอเอ็มเอฟล่าสุดชี้ให้เห็นว่า ทั้งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาได้มีการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น (ตารางประกอบ)
"เรามีการกระจายความเสี่ยงนับจากปี 2540 ส่วนการจะนำเงินสำรองไปลงทุนจะต้องมีไกด์ไลน์ที่เป็นไปตามพ.ร.บ.ธปท. และพ.ร.บ.เงินตรา โดยมีคณะกรรมการธปท.เป็นคนกำหนดประเภทที่ออกไปลงทุน และมีอำนาจอนุมัติ เรามีการลงทุนในทองอยู่แล้วตั้งแต่อดีต แต่จะมีการลงทุนใหม่หรือไม่นั้น กำลังพิจารณาอยู่ เนื่องจากทองเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทน ไม่มีดอกเบี้ย ยกเว้นราคาขึ้นจึงจะได้ ซึ่งด้านบริหารความเสี่ยงกำลังประเมินถึงความคุ้มค่าจากความผันผวนของราคากับผลตอบแทนที่ได้ เพราะการถือครองทองก็เหมือนถือดอลลาร์ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนการถือทองประมาณ 2% ของพอร์ตทั้งหมด หรือประมาณ 84 ตัน มูลค่าประมาณ 2 พันกว่าล้านดอลลาร์สหรัฐฯ" นางสุชาดากล่าวย้ำ
นางสุชาดากล่าวอีกว่า สำหรับผลตอบแทนจากการบริหารเงินสำรองในรูปของเงินตราต่างประเทศเป็นบวกมาโดยตลอด แต่เมื่อแปลงกลับมาเป็นผลตอบแทนในรูปของเงินบาทอาจมีขึ้น - ลง โดยหากในช่วงใดที่ค่าเงินปรับตัวแข็งค่าการแปลงผลตอบแทนกลับมาในรูปเงินบาทอาจขาดทุนได้ เช่นเดียวกับปี 2552 ที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 4% แต่เนื่องจากปัจจุบันธปท.ได้มีการกระจายการถือครองสินทรัพย์ไปยังสกุลเงินอื่นๆมากขึ้น บางส่วนให้ผลตอบแทนเป็นบวก ดังนั้นสุทธิหากแปลงผลตอบแทนกลับมาในรูปเงินบาทคงขาดทุนไม่มากนัก
ด้านนายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการสายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้แม้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นแล้ว แต่ก็อยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งการฟื้นอย่างต่อเนื่องจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อการใช้จ่ายภาครัฐ สามารถผลักดันให้ภาคเอกชนขับเคลื่อนขยายการลงทุนและการบริโภคในประเทศ เหตุนี้ธปท.จึงมีความจำเป็นที่จะต้องส่งเมสเสจ 3 ทาง กล่าวคือ 1.การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อประคองเศรษฐกิจให้ฟื้นต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ดูแลสภาพคล่องในระบบให้เพียงพอ และ3. ดูแลและรักษาระดับค่าเงินไม่ให้ผันผวนมากไปจนเป็นอุปสรรคต่อผู้ประกอบการภาคธุรกิจ .

1.การบริหารจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศธนาคารแห่งประเทศไทยใช้หลักการใด ?
2.ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายอะไรในการประคองเศรษฐกิจของประเทศไทย ?
3.สาเหตุใดธนาคารแห่งประเทศไทยจึงต้องส่องเมสเสจ3 ทาง ?

ที่มา.... หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2,478 12 พ.ย. - 14 พ.ย. 2552

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ดอกเบี้ยขึ้นปีหน้า0.75-1%

จัดทำโดย ชื่อ ธารารัชน์ เกษตรธรรม เลขทะเบียน 4902100142
เรื่อง "ดอกเบี้ยขึ้นปีหน้า0.75-1%"





“กรุงไทย” ประเมินปีหน้าดอกเบี้ยในตลาดเงินฝาก- กู้ขยับขึ้น 0.75-1.0% สินเชื่อขยายตัวได้ 6-7%

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ในปีหน้าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของระบบธนาคารพาณิชย์จะขยับขึ้นรวม 0.75-1.0% เพราะคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นไม่น้อยกว่า 0.75-1% จากระดับปัจจุบัน 1.25%
ทั้งนี้ สถานการณ์ในปีหน้าเราคงจะไม่เห็นดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับนี้อีกแล้ว เมื่อธปท.ขึ้นดอกเบี้ยก็ทำให้ดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ต้องปรับขึ้นล้อตามกันไปในสัดส่วนใกล้เคียงกัน เนื่องจากคาดว่าต้นปีหน้าเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% กว่า

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทิศทางการขอสินเชื่อเริ่มดีขึ้น โดยไตรมาส 3 รายการที่เกี่ยวข้องกับการขอสินเชื่อของธนาคารมีจำนวนเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาส 2 ลดลง 20% และไตรมาสแรกลดลง 40% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน สะท้อนภาพว่าลูกค้าเริ่มหันมาขอกู้มากขึ้น

ประธานสมาคมธนาคารไทยได้คาดการณ์ว่า สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบจะเติบโตประมาณ 6-7% ด้วย เพราะสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขึ้นกับเศรษฐกิจเป็นหลัก

นายอภิศักดิ์ เชื่อว่าเศรษฐกิจปีหน้าแม้จะดีกว่าปีนี้ แต่จะไม่ดีเร็วกว่าที่คิด เศรษฐกิจจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้เวลาพอควรกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นกลับมาที่เก่า เนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกยังไม่ดี ซึ่งเศรษฐกิจจะดีได้ สถาบันการเงินต้องดีก่อน

สำหรับแผนธุรกิจปีหน้าของธนาคารกรุงไทยประเมินว่าจะขยายสินเชื่อสุทธิ 6-7 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 6-7% เนื่องจากธนาคารคาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปีหน้าจะขยายตัวมากกว่า 3% ฉะนั้นสินเชื่อของธนาคารจะเติบโตเป็น 2 เท่าของจีดีพี

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า สินเชื่อในโครงการไทยเข้มแข็งจะเป็นตัวผลักดันให้สินเชื่อเติบโตได้ตามเป้าหมาย นำโดยอุตสาหกรรมก่อสร้างที่เกี่ยวเนื่องกับภาครัฐของธนาคารจึงไปได้ดี ซึ่งขณะนี้ธนาคารก็เริ่มอนุมัติให้วงเงินสินเชื่อแล้ว จะเห็นการเบิกใช้จริง ปีหน้า

กรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ขณะนี้สิ่งที่เป็นห่วงเพิ่มคือ เริ่มเห็นนักลงทุนใช้วิธีแครีเทรด โดยกู้เงินเหรียญสหรัฐเนื่องจากดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนสูง ซึ่งหากมีการกู้เงินสหรัฐเพื่อนำไปแครีเทรดจำนวนมาก โลก ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิด ฟองสบู่ และปัญหาจะลามทั่วโลก

แหล่งข่าวธนาคารไทยพาณิชย์เปิดเผยว่า ปีหน้าดอกเบี้ยขึ้นแน่ซึ่งอาจจะสูงกว่า 1.50% ดังนั้นคนที่กู้เงินซื้อบ้านหรือต้องการขยายการลงทุนควรหาทางรับมือ

ที่มา : http://www.posttoday.com/finance.php?id=75497

คำถาม

1.ไตรมาส 3 รายการที่เกี่ยวข้องกับการขอสินเชื่อของธนาคารมีจำนวนเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ?

2.ประธานสมาคมธนาคารไทยได้คาดการณ์ว่า สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบจะเติบโตประมาณเท่าไหร่ ?

3.กรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย กล่าวว่าอย่างไร ??? ขณะนี้สิ่งที่เป็นห่วงเพิ่มคือ ???